ศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่ยากอย่างที่คิด ค้นหาโรงเรียนสอนภาษากว่า 600 แห่ง ใน 6 ประเทศ

รู้จักกับระบบการศึกษาในสหราชอาณาจักร (UK)

25 มีนาคม 2562 สหราชอาณาจักร นักเรียน โรงเรียนสอนภาษา ทิปส์

รู้จักกับระบบการศึกษาในสหราชอาณาจักร (UK) ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา (Primary Education) ไปจนถึงอุดมศึกษา (Higher Education) จะแตกต่างกับไทยอย่างไร มาอ่านกันเลย (ลองดู รู้จักกับหลักสูตร TNE เรียนในไทยแต่ได้รับวุฒิอังกฤษ (UK) )

uk

ระบบการศึกษาในประเทศสหราชอาณาจักร (UK)

สถาบันการศึกษาทุกระดับในสหราชอาณาจักร (UK) เปิดภาคการศึกษาในช่วงเดือนกันยายน จนถึงต้นเดือนตุลาคมของปีที่หนึ่งและจบภาคการศึกษาประมาณปลายเดือนมิถุนายนจนถึงต้นเดือนกรกฎาคมของปีถัดไป อังกฤษมีแบ่งภาคการศึกษาดังนี้

  • Autumn Term ตั้งแต่ประมาณปลายเดือนกันยายน-เดือนธันวาคม
  • Spring Term ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมกราคม-ปลายเดือนมีนาคม
  • Summer Term ตั้งแต่ประมาณปลายเดือนเมษายน-ต้นเดือนกรกฎาคม

และระดับการศึกษาถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ซึ่งต่างจากของไทย แบ่งเป็นดังนี้

  • Primary Education
  • Secondary Education
  • Vocational School
  • Higher Education

การศึกษาภาคบังคับของสหราชอาณาจักร (UK) นั้นเริ่มตั้งแต่อายุ 5-16 ปี เด็กนักเรียนทุกคนจะต้องจบการศึกษาอย่างน้อยในระดับ Secondary Education โรงเรียนมีทั้งประเภท โรงเรียนรัฐบาล (State School) และ โรงเรียนเอกชน (Public หรือ Independent School) สำหรับนักเรียนไทยและต่างชาติ ที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษส่วนใหญ่นั้นจะไปในศึกษาต่อในระดับ Higher Education ซึ่งเทียบเท่ากับระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย

Primary Education (ระดับประถมศึกษา)

โดยปกติ เด็กนักเรียนในสหราชอาณาจักร ระบบโรงเรียนรัฐบาลเข้าเรียนระดับชั้นประถมศึกษาเมื่ออายุ 5 ปี และเข้าระดับชั้นมัธยมเมื่อศึกษาจนถึงอายุ 11 ปี (และ 13 ปี ในระบบโรงเรียนประจำ) การเรียนการสอนในระดับนี้ เน้นให้เด็กมีความสามารถ พัฒนาตามวัย มีทักษะในการเขียนและตัวเลข เพื่อเตรียมตัวสอบ Common Entrance Examination (CEE) เพื่อศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาต่อไป

Secondary Education (ระดับมัธยมศึกษา)

เป็นระดับของนักเรียนอายุ 13 ปีขึ้นไป และเรียนได้จนถึงอายุ 18-19 ปี เรียกว่า Year 9 – Year 13 การขึ้นชั้นเรียนทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เป็นการขึ้นชั้นเรียนต่อไปได้โดยอัตโนมัติ ไปจนถึงอายุ 16 ปี ทางกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ จะกำหนดให้มีการทดสอบความรู้ความสามารถของเด็ก และจะนำผลสอบไปใช้พิจารณาเรื่องการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาต่อไป การสอบนี้มี 2 ระดับ โดยจะสอบประมาณเดือนมิถุนายน-เดือนกรกฎาคม ของทุกปี คือ

  • GCSE (General Certificate of Secondary Education) การสอบระดับนี้ใช้กับเด็กที่มีอายุประมาณ 16 ปี ขึ้นไป ทำการสอบ 6-10 วิชา เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และผลการสอบจะแบ่งเกรดเป็น 7 ระดับ คือ A-G ผู้ที่สอบผ่านต้องได้ Grade C ขึ้นไป นักเรียนที่สอบ GCSE ได้แล้ว (อย่างน้อย 5 วิชา) หากจะศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาจะต้องศึกษาต่ออีกประมาณ 2 ปี ในระดับ A Level
  • A Level (Advanced Level) เป็นการสอบวัดความรู้ทางวิชาการในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป มีวิชาให้เลือกกว่า 50 วิชา ส่วนใหญ่นักศึกษาในระดับ A Level จะลงเรียนเพียง 2-4 วิชา เพื่อที่จะได้ศึกษาแต่ละวิชาอย่างละเอียดและจะต้องเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่ต้องการศึกษาต่อ ในระดับปริญญาตรี ผลการสอบ A Level มี 5 ระดับ คือ A-E แต่ Grade ที่ได้ทั้ง 5 ถือว่าสอบผ่าน มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่พิจารณารับผู้มีผลการสอบในระดับ C ขึ้นไป บางแห่งอาจรับเฉพาะผู้ที่ได้คะแนนระดับ A และ B

Vocational School (ระดับอาชีวศึกษา)

ระดับอาชีวศึกษานี้จัดขึ้นเพื่อให้นักเรียนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งไม่ประสงค์จะศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา หรือผู้ที่ไม่มีคุณวุฒิ GCSE แต่ประสงค์จะมีคุณวุฒิทางวิชาชีพต่างๆ เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ ปัจจุบัน คุณวุฒิวิชาชีพ มี 2 ประเภท คือ

  • GNVQ (General National Vocational Qualification) เป็นการศึกษากึ่งสายอาชีพ คือ เรียนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ มี 4 ระดับ คือ GNVQ Foundation (ระดับพื้นฐาน) ,GNVQ Intermediate ,GNVQ Advanced และ GNVQ 4 
  • NVQ (National Vocational Qualification) เป็นวุฒิการศึกษาสายอาชีพและการฝึกปฏิบัติวิชาชีพเฉพาะ โดยผู้ว่าจ้างสหภาพแรงงงานและผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพนั้นๆ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานการศึกษา การศึกษาในระดับนี้แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ NVQ1-NVQ5 แต่ละระดับจะยึดตามความสามารถเป็นหลัก ไม่มีการกำหนดระยะเวลาตายตัวในการเรียน

Higher Education (ระดับอุดมศีกษา)

Higher Education คือ การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมีมหาวิทยาลัยกว่า 90 แห่ง ในสหราชอาณาจักรและเปิดสอนหลักสูตรและสาขาวิชาหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนของรัฐ การศึกษาระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น

หลักสูตรปริญญาตรี (First Degree)

ในอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ

  • หลักสูตรทั่วไป 3 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาได้รับวุฒิปริญญา BA (ศิลปศาสตรบัณฑิต) BBA (บริหารธุรกิจบัณฑิต) BEd (ศึกษาศาสตร์บัณฑิต) BSc (วิทยาศาสตร์บัณฑิต) LLB (นิติศาสตร์บัณฑิต) เป็นต้น
  • หลักสูตรที่ใช้เวลาศึกษามากกว่า 3 ปี เช่น วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ทันตแพทย์ศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ เป็นต้น

ในสก๊อตแลนด์ มี 2 หลักสูตร คือ Ordinary Degree (3ปี) และ Honours Degree (4ปี) โดยเรียนเพิ่มจาก Ordinary degree อีก 1 ปี

นอกจากนี้ บางแห่งยังเปิดหลักสูตรการศึกษาที่หลากหลายออกไปอีก ดังนี้

  • Joint Honours Degree เป็นการเรียนร่วมตั้งแต่ 2 สาขาวิชาขึ้นไป อาจเป็นสาขาวิชาที่ใกล้เคียงกันหรือไม่ก็ได้ หากแต่กำหนดน้ำหนักการเรียนในแต่ละสาขาวิชา เท่ากัน
  • Combined Degree โดยการเรียนแต่ละสาขาวิชา ไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนักการเรียนเท่ากัน
  • Sandwich Courses เป็นการเรียนโดยรวมเวลาฝึกงานกับเวลาเรียนเข้าด้วยกัน เช่น การฝึกงานด้านอุตสาหกรรม การบริหารธุรกิจ หรืออาชีพอื่น จึงต้องใช้ระยะเวลาศึกษานานกว่าปกติ 

สำหรับผู้ที่มีผลการเรียนระดับปริญญาตรีไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานการเข้าศึกษา ปริญญาโทของมหาวิทยาลัย หรือผู้ที่เปลี่ยนสาขาวิชาเรียน มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะรับให้เข้าศึกษาหลักสูตร Post-Graduate Certificate/Diploma ระยะเวลา 9 เดือน ถึง 1 ปีก่อน แล้วจึงรับเข้าเรียนต่อหลักสูตรปริญญาโท

หลักสูตรระดับสูงกว่าปริญญาตรี (Higher degree)

  • ประเภทหลักสูตรเข้าชั้นเรียน (Taught Course) ระยะเวลาเรียน 1 ปี สามารถเลือกเรียนเฉพาะด้านได้ โดยอยู่ในความดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ วิธีการเรียนการสอนแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ในครึ่งปีแรกของหลักสูตรเป็นการบรรยายในชั้นเรียนหรือการทำงาน ในห้องทดลอง หลังจากนั้นอีกครึ่งปี จะทำงานศึกษาวิจัยชิ้นใหญ่หรือที่วิทยานิพนธ์ ปริญญาที่ได้รับ เป็นระดับปริญญาโท อาทิ MSc. MA MBA เป็นต้น
  • ประเภทหลักสูตรการค้นคว้าวิจัย (Research Course) ใช้เวลาศึกษา 3 ปี โดยการทำวิจัยและเขียนวิทยานิพนธ์ ในปีแรกของปริญญาเอก เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อให้มีความรู้ความสามารถเข้ามาตรฐานการเรียนปริญญาเอก เรียกว่าระดับ M.Phil แล้วจึงปรับให้เข้าศึกษาในระดับปริญญาเอก Ph.D ปีที่ 2 หากผลงานไม่ถึง มาตรฐานปริญญาเอกจะไม่ได้ผ่านศึกษาต่อจนสำเร็จหลักสูตร Ph.D. แต่จะได้รับวุฒิ M.Phil ซึ่งอาจเทียบเท่าเพียงระดับปริญญาโท แต่ผู้ที่ได้เรียนครบจนสำเร็จหลักสูตร Ph.D ก็จะได้รับวุฒิ Ph.D แต่ไม่ได้วุฒิ M.Phil เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
  • New Route to Ph.D ใช้เวลาเรียน 4 ปี โดย 30-40% ของหลักสูตรจะเป็นการเรียนแบบ Taught Course และอีก 60-70% จะเป็นการวิจัย

สำหรับน้องๆ คนไหนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการไปศึกษาต่อด้านภาษาในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร แคนาดา สหรัฐอเมริกา และไอร์แลนด์ สามารถลงทะเบียนกับ SI-English ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อในต่างประเทศ , Tel. 02-2606033 เพื่อขอรับคำแนะนำจากเราฟรีได้แล้วตั้งแต่วันนี้ หรือสามารถค้นหาคอร์สเรียนภาษาในโรงเรียนภาษาที่ตรงใจได้ที่นี่เลยค่ะ!

บทความที่เกี่ยวข้องน่าสนใจอื่นๆ

Grammar: 5 Tense ภาษาอังกฤษที่คุณจำเป็นต้องรู้

5 เทคนิคการเขียน Email ภาษาอังกฤษให้ดูดีแบบมืออาชีพ!

เรียนภาษาที่ “อังกฤษ” ใน 5 เมืองสุดคูลที่ใครๆก็อยากไป

© SI-English | All rights reserved | Privacy Policy